ศักยภาพศูนย์กลางการบินนานาชาติของนครเฉิงตูกับการดึงดูดนักท่องเที่ยวไทย และโอกาสของไทยในการกระตุ้นการท่องเที่ยว

ศักยภาพศูนย์กลางการบินนานาชาติของนครเฉิงตูกับการดึงดูดนักท่องเที่ยวไทย และโอกาสของไทยในการกระตุ้นการท่องเที่ยว

วันที่นำเข้าข้อมูล 7 พ.ย. 2568

วันที่ปรับปรุงข้อมูล 7 พ.ย. 2568

| 41 view

1

 

นครเฉิงตูได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่โดดเด่นในฐานะศูนย์กลางการบินนานาชาติ ประสบความสำเร็จเป็นที่ประจักษ์ในปีที่ผ่านมา โดยเมื่อวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ นครเฉิงตูได้สร้างประวัติศาสตร์ใหม่เมื่อปริมาณผู้โดยสารที่เดินทางผ่านศูนย์กลางการบินแห่งนี้ทะลุ ๘๐ ล้านคนภายในปีเดียว ส่งผลให้นครเฉิงตูไม่เพียงแต่ครองตำแหน่งเมืองการบินอันดับสามของจีนแผ่นดินใหญ่ แต่ยังสามารถก้าวเข้าสู่การจัดอันดับ “๒๐ เมืองใหญ่ด้านการบินของโลก” ได้อย่างภาคภูมิ เป็นข้อพิสูจน์ถึงบทบาทสำคัญของนครเฉิงตูในฐานะจุดเชื่อมโยงสำคัญในระดับสากล

นอกจากความสำเร็จด้านจำนวนผู้โดยสารแล้ว นครเฉิงตูยังได้แสดงศักยภาพด้านการขนส่งสินค้าที่ก้าวล้ำไปอีกขั้น โดยเมื่อวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๖๗ ปริมาณการขนส่งสินค้าและไปรษณีย์ที่ศูนย์กลางการบินนานาชาติแห่งนี้ได้ทะลุ ๑ ล้านตันเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ทำให้นครเฉิงตูกลายเป็นเมืองแรกในภูมิภาคตะวันตกและเมืองที่ ๕ ของจีนแผ่นดินใหญ่ที่ได้รับการยอมรับในฐานะสมาชิก “เครือข่ายการขนส่งสินค้าทางอากาศระดับล้านตัน (Million-ton Aviation Club) ความสำเร็จทั้งสองนี้สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพที่เติบโตอย่างไม่หยุดยั้งของนครเฉิงตู ทั้งในด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการบินและบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจโลก

ศูนย์ข้อมูลเพื่อธุรกิจไทยในจีน สถานกงสุลใหญ่ ณ นครเฉิงตู ขอพาทุกท่านไปสำรวจศักยภาพที่โดดเด่นของนครเฉิงตูในฐานะศูนย์กลางการบินนานาชาติ ซึ่งไม่เพียงแต่มีการเติบโตอย่างรวดเร็วในด้านการขนส่งผู้โดยสารและสินค้า แต่ยังเปิดโอกาสใหม่ๆ สำหรับการท่องเที่ยวและการค้าไทย - จีน โดยเฉพาะในด้านความเชื่อมโยงทางการบินที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งแน่นอนว่าโอกาสในการพัฒนาและการเติบโตของนครเฉิงตูจะช่วยเสริมสร้างเศรษฐกิจและเปิดช่องทางใหม่ๆ ที่หลากหลายมากขึ้นสำหรับนักท่องเที่ยวและผู้ประกอบการไทย

 

微信图片_20250114135802

      

พัฒนาการของศูนย์กลางการบินนานาชาติเฉิงตู

นครเฉิงตูได้พัฒนาเป็นศูนย์กลางการบินนานาชาติที่สำคัญ ผ่านกระบวนการพัฒนา ๔ ระยะ ได้แก่
ระยะเริ่มต้น ระยะขยายและปรับปรุง ระยะสากลและทันสมัย และระยะท่าอากาศยานคู่ ดังนี้

๑. ระยะเริ่มต้น (พ.ศ. ๒๔๘๑ - ๒๕๐๐)

ท่าอากาศยานนานาชาติเฉิงตูซวงหลิวของนครเฉิงตู เริ่มต้นก่อสร้างเมื่อปี ๒๔๘๑ ภายใต้ชื่อ “ท่าอากาศยานซวงกุ้ยซื่อ” โดยเป็นท่าอากาศยานสำหรับการใช้งานทางทหาร ต่อมา ในเดือนธันวาคม ๒๔๙๙ ท่าอากาศยานดังกล่าวได้โอนย้ายมาเป็นท่าอากาศยานพลเรือน และเปลี่ยนชื่อเป็น “ท่าอากาศยานเฉิงตูซวงหลิว” ในปีถัดมา จึงเริ่มทำการบินพลเรือนอย่างเป็นทางการ โดยเปิดเส้นทางบินสู่กรุงปักกิ่ง เมืองไท่หยวนนครซีอาน นครฉงชิ่ง นครคุนหมิง เมืองกุ้ยหยาง และเมืองหนานชง

๒. ระยะขยายและปรับปรุง (พ.ศ. ๒๕๐๑ - ๒๕๓๕)

ในระยะนี้ ท่าอากาศยานนานาชาติเฉิงตูซวงหลิวได้ดำเนินการขยายและปรับปรุงหลายครั้ง โดยขยายรันเวย์ให้มีความยาวถึง ๒,๘๐๐ เมตร เพื่อให้ได้มาตรฐานท่าอากาศยานระดับหนึ่ง และเพิ่มพื้นที่อาคารผู้โดยสารเป็น ๑๗,๔๐๐ ตารางเมตร พร้อมทั้งพัฒนาระบบควบคุมการบิน การสื่อสาร การนำร่อง การพยากรณ์อากาศและบริการขนส่ง

๓. ระยะสากลและทันสมัย (พ.ศ. ๒๕๓๖ - ๒๕๕๓)

ในปี ๒๕๓๖ ท่าอากาศยานนานาชาติเฉิงตูซวงหลิวได้รับอนุมัติให้เป็นท่าอากาศยานระหว่างประเทศโดยเริ่มเปิดเส้นทางบินตรงไปยังกรุงกาฐมาณฑุและนครอัมสเตอร์ดัม และในปี ๒๕๓๘ ท่าอากาศยานได้รับการเปลี่ยนชื่อเป็น “ท่าอากาศยานนานาชาติเฉิงตูซวงหลิว” นอกจากนี้ ในปี ๒๕๔๖ ท่าอากาศยานแห่งนี้กลายเป็นท่าอากาศยานแห่งที่สี่ของจีนที่ติดตั้งระบบลงจอดอัตโนมัติระดับ II และในปี ๒๕๔๗ อาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศแห่งใหม่ก็เริ่มเปิดใช้งาน

๔. ระยะท่าอากาศยานคู่ (พ.ศ. ๒๕๕๔ - ปัจจุบัน)

ในปี ๒๕๕๔ มณฑลเสฉวนเริ่มต้นเลือกสรรพื้นที่สำหรับท่าอากาศยานแห่งใหม่ในนครเฉิงตู โดยเมื่อปี ๒๕๕๘ ท่าอากาศยานดังกล่าวได้รับอนุมัติจากสภารัฐบาลและคณะกรรมการทหารกลาง และได้รับการตั้งชื่อว่า "ท่าอากาศยานนานาชาติเฉิงตูเทียนฝู่" การก่อสร้างท่าอากาศยานเริ่มต้นในปี ๒๕๕๙ และเปิดดำเนินการในเดือนมิถุนายน ๒๕๖๔ ทำให้นครเฉิงตูก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของการเป็นศูนย์กลางการบินนานาชาติในรูปแบบ “ท่าอากาศยานคู่ในระบบเดียวกัน”

 

2345_1    

6

 

การวางตำแหน่ง (Positioning) ของท่าอากาศยานทั้งสองแห่งในยุทธศาสตร์นครเฉิงตู

รัฐบาลนครเฉิงตูได้กำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนา “ระบบสนามบินคู่แบบเกื้อหนุนกัน (Complementary Dual-Hub Strategy)” โดยกำหนดบทบาทอย่างชัดเจนดังนี้

๑. ท่าอากาศยานนานาชาติซวงหลิว

๑.๑ บทบาท: ศูนย์กลางการบินระดับภูมิภาค (Regional Aviation Hub)

๑.๒ ภารกิจหลัก: ให้บริการเที่ยวบิน ภายในประเทศ และเส้นทางเชื่อมต่อพื้นที่สูงในจีนตะวันตก เช่น นครลาซา นครหลินจือ นครคุนหมิง

๑.๓ ตัวอย่างเส้นทางบินภายในประเทศ:
กรุงปักกิ่ง นครเซี่ยงไฮ้ นครกว่างโจว เมืองเซินเจิ้ นครหางโจว นครหนานจิง, นครอู่ฮั่น นครคุนหมิง เมืองลี่เจียง นครอูหลู่มู่ฉี นครลาซา เมืองชางตู นครฮาร์บินฮาร์บิน เมืองชิงเต่า เมืองซานย่า เมืองเซี่ยเหมิน นครหนานหนิง ฯลฯ

๑.๔ บทบาทเชิงเศรษฐกิจ: สนับสนุนการเดินทางธุรกิจ การขนส่งสินค้า และการเชื่อมโยงเมืองต่าง ๆ ในประเทศ

๒. ท่าอากาศยานนานาชาติเฉิงตูเทียนฝู่

๒.๑ บทบาท: ประตูการบินสู่โลก (Primary International Gateway)

๒.๒ ภารกิจหลัก: ให้บริการเที่ยวบิน ระหว่างประเทศ และบางเส้นทางภายในประเทศที่มีความถี่สูง เช่น เส้นทางไปปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้

๒.๓ ตัวอย่างเส้นทางบินระหว่างประเทศ:

(๑) เอเชีย: กรุงเทพฯ ภูเก็ต เชียงใหม่ โตเกียว โอซาก้า โซล สิงคโปร์ กัวลาลัมเปอร์ ไทเป ฮ่องกง

(๒) ยุโรป: ลอนดอน ปารีส แฟรงก์เฟิร์ต มิลาน โรม เวียนนา มาดริด

(๓) ตะวันออกกลางและแอฟริกา: ดูไบ โดฮา ไคโร แอดดิสอาบาบา

(๔) อเมริกาและโอเชียเนีย: แวนคูเวอร์ ลอสแอนเจลิส ซิดนีย์ เมลเบิร์น โอ๊คแลนด์

๒.๔ บทบาทเชิงยุทธศาสตร์: เป็น “ศูนย์กลางการบินนานาชาติของจีนตะวันตก” ที่เชื่อมโยงสู่ ๕ ทวีป รองรับนโยบาย Belt and Road Initiative (BRI) และ Lancang–Mekong Cooperation (LMC)

 

7

 

ยุทธศาสตร์ท่าอากาศยานนานาชาติ ๒ แห่งในเมืองเดียว

นครเฉิงตูถือเป็นเมืองแรกในภูมิภาคตะวันตกของจีนที่มี “ระบบท่าอากาศยานคู่ (Dual-Airport System)” ซึ่งประกอบด้วย
  • ท่าอากาศยานนานาชาติเทียนฝู่ (Chengdu Tianfu International Airport – TFU) : ศูนย์กลางการบินนานาชาติหลักของเมืองและของจีนตะวันตก
  • ท่าอากาศยานนานาชาติซวงหลิว (Chengdu Shuangliu International Airport – CTU) : ศูนย์กลางการบินภายในประเทศและระดับภูมิภาค
ระบบดังกล่าวสะท้อนถึงการวางยุทธศาสตร์ระยะยาวของรัฐบาลนครเฉิงตูในการสร้าง “มหานครศูนย์กลางด้านการบิน (Aviation Metropolis)” ที่สามารถเชื่อมโยงทั้งในประเทศและต่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยแนวทางบริหารจัดการในรูปแบบดังกล่าวมีข้อได้เปรียบหลายประการ ได้แก่
๑. การแบ่งบทบาทชัดเจน
การแบ่งหน้าที่ของสองท่าอากาศยานอย่างเป็นระบบทำให้การบริหารจัดการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
  • TFU รับผิดชอบเที่ยวบินระหว่างประเทศและเที่ยวบินระยะไกล ซึ่งต้องใช้รันเวย์ขนาดใหญ่และระบบอำนวยความสะดวกทันสมัย เช่น ระบบตรวจคนเข้าเมือง สะพานเทียบเครื่องบินระหว่างประเทศ และพื้นที่ปลอดภาษี
  • CTU รับผิดชอบเที่ยวบินภายในประเทศ รวมถึงเส้นทางที่เชื่อมต่อสนามบินบนพื้นที่สูง เช่น นครลาซาและนครหลินจือ ที่ต้องการนักบินและเทคนิคพิเศษ
การแบ่งเช่นนี้ช่วยให้ เกิดความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน (Specialization) ลดความซ้ำซ้อนในการปฏิบัติการ และยกระดับประสิทธิภาพของระบบการบินโดยรวมของเมือง
๒. ลดความเสี่ยงและความแออัด
ในอดีตนครเฉิงตูมีเพียงท่าอากาศยานซวงหลิว ซึ่งเริ่มประสบปัญหาความแออัดจากปริมาณเที่ยวบินที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การเปิดใช้ท่าอากาศยานนานาชาติเฉิงตูเทียนฝู่ทำให้สามารถ “กระจายความหนาแน่นของการจราจรทางอากาศ” และ “กระจายความเสี่ยงจากเหตุการณ์ไม่คาดคิด” ได้ดีขึ้น เช่น หากเกิดเหตุสภาพอากาศเลวร้ายหรือระบบขัดข้องในท่าอากาศยานหนึ่ง อีกท่าอากาศยานยังสามารถรองรับเที่ยวบินฉุกเฉินได้ทันที ซึ่งช่วยคงความต่อเนื่องของระบบโลจิสติกส์และเศรษฐกิจของเมือง
๓. เสริมโครงข่ายคมนาคมเมืองและภูมิภาค
ระบบสนามบินคู่ของนครเฉิงตูได้รับการออกแบบให้เชื่อมต่อกับระบบขนส่งหลายรูปแบบ (Multimodal Transport Network) อย่างครบวงจร
  • CTU ตั้งอยู่ใกล้ใจกลางเมือง เพียง ๑๖ กิโลเมตร เดินทางได้สะดวกด้วยรถไฟใต้ดินสาย ๑๐ และ ๑๙ รวมถึงทางด่วนเข้าสู่ตัวเมือง
  • TFU ตั้งอยู่ในเขตเจี่ยนหยาง ห่างออกไปประมาณ ๕๐ กิโลเมตร แต่มีระบบรถไฟใต้ดินสาย ๑๘ และรถไฟความเร็วสูง “เฉิงตู–จื้อกง” ที่สามารถเดินทางถึงตัวเมืองภายใน ๓๐ นาที
การเชื่อมโยงเช่นนี้ช่วยให้นครเฉิงตูสามารถพัฒนาเป็น “ศูนย์กลางคมนาคมครบวงจรของจีนตะวันตก (Western China Integrated Transport Hub)” ที่เชื่อมโยงทางอากาศ ราง และถนนอย่างสมบูรณ์
๔. ส่งเสริมการพัฒนาเมืองอย่างสมดุล
ท่าอากาศยานทั้งสองแห่งมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองในสองทิศทาง
  • CTU ส่งเสริมเศรษฐกิจในเขตตะวันตกของนครเฉิงตู ซึ่งเป็นพื้นที่เมืองเก่าและศูนย์กลางทางการค้าเดิม
  • TFU กลายเป็น “เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจใหม่” ของเขตตะวันออก โดยรัฐบาลได้พัฒนา “Chengdu Eastern New Area” ให้เป็นฐานของอุตสาหกรรมไฮเทค การขนส่งโลจิสติกส์ และนิคมธุรกิจระหว่างประเทศ
ระบบสนามบินคู่จึงไม่เพียงเป็นโครงสร้างพื้นฐานทางคมนาคมเท่านั้น แต่ยังเป็นกลไกกระจายการพัฒนาเมืองที่ช่วยให้เฉิงตูเติบโตอย่างสมดุลระหว่างเมืองเก่าและเมืองใหม่

ทั้งนี้ รูปแบบการบริหารจัดการสองสนามบินก็มีความท้าทายเช่นกัน ที่สำคัญ ได้แก่
๑. ต้นทุนการบริหารสูง
การดำเนินงานของสนามบินสองแห่งจำเป็นต้องมีการจัดตั้งระบบบริหารจัดการแยกกัน ทั้งในด้าน การควบคุมการบิน การรักษาความปลอดภัย ระบบไอที โครงสร้างพื้นฐาน และบุคลากร แม้ว่าจะเพิ่มความยืดหยุ่นในการให้บริการ แต่ก็ส่งผลให้ต้นทุนการดำเนินงานโดยรวมสูงขึ้น และต้องการการลงทุนซ้ำในบางด้าน เช่น ศูนย์ควบคุมการบินหรือระบบสนับสนุนผู้โดยสาร
๒. การประสานงานซับซ้อน
การจัดตารางเที่ยวบิน การบริหารลำดับการบิน และการจัดสรรพื้นที่ให้กับสายการบินในแต่ละสนามบิน ต้องอาศัยการสื่อสารและประสานงานอย่างต่อเนื่องระหว่างหน่วยงานทั้งสอง ความซับซ้อนนี้อาจทำให้การตัดสินใจล่าช้าและเกิดความท้าทายด้านการบริหารทรัพยากรร่วม (Shared Resource Management)
๓. ความไม่สะดวกในการเชื่อมต่อระหว่างสนามบิน
ในปัจจุบัน เฉิงตูยังไม่มีรถไฟด่วนตรง (Express Link) ระหว่าง CTU และ TFU ทำให้ผู้โดยสารที่ต้องต่อเครื่องระหว่างสนามบินต้องเดินทางด้วยรถไฟใต้ดินและเปลี่ยนสาย ซึ่งใช้เวลาประมาณ ๖๐ – ๗๐ นาทีปัญหานี้ส่งผลต่อผู้โดยสารระหว่างประเทศที่ต้องต่อเครื่องภายในเวลาอันจำกัด และอาจกระทบต่อความสะดวกในการให้บริการแบบ “Hub-to-Hub Connection”
๔. ความสับสนของผู้โดยสาร
เนื่องจากทั้งสองสนามบินตั้งอยู่ในเมืองเดียวกัน และใช้ชื่อ “เฉิงตู” เหมือนกัน ทำให้ผู้โดยสาร โดยเฉพาะชาวต่างชาติ มักเกิดความสับสนระหว่าง Chengdu Shuangliu (CTU) และ Chengdu Tianfu (TFU) ปัญหานี้ทำให้เกิดเหตุ “ไปผิดสนามบิน” อยู่บ่อยครั้ง ซึ่งนำไปสู่การพลาดเที่ยวบินและเพิ่มภาระให้แก่สายการบินและเจ้าหน้าที่ภาคพื้น รวมถึงตัวผู้โดยสารเอง

สถานการณ์ปัจจุบันของศูนย์กลางการบินนานาชาติเฉิงตู

ศูนย์กลางการบินนานาชาติเฉิงตูมีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องในด้านโครงสร้างพื้นฐาน เครือข่ายเส้นทางการบิน และปริมาณการขนส่งผู้โดยสารและสินค้า โดยมีความโดดเด่นในระดับประเทศ ดังนี้:
๑. ความสำเร็จด้านโครงสร้างพื้นฐานของศูนย์กลางการบินระหว่างประเทศ
ศูนย์กลางการบินนานาชาติเฉิงตูได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องผ่านการปรับปรุงและขยายพื้นที่ รวมถึงการก่อสร้างท่าอากาศยานใหม่ ทำให้ศักยภาพของโครงสร้างพื้นฐานอยู่ในระดับแนวหน้าของประเทศ ด้านการขนส่งผู้โดยสาร ศูนย์กลางนี้มีอาคารผู้โดยสารรวม ๔ แห่ง พื้นที่รวมกว่า ๑.๒ ล้านตารางเมตร รองรับผู้โดยสารได้ถึง ๑๒๐ ล้านคนต่อปี ด้านการขนส่งสินค้า ท่าอากาศยานทั้งสองแห่งมีคลังสินค้าทางอากาศรวม ๖ แห่ง พื้นที่รวมเกือบ ๒.๘ แสนตารางเมตร รองรับการขนส่งสินค้าและไปรษณีย์ได้ถึง ๒.๘ ล้านตันในแต่ละปี โดยในอนาคต การปรับปรุงอาคารผู้โดยสาร T1 ของท่าอากาศยานเฉิงตูซวงหลิว และการก่อสร้างระยะที่ ๒ ของท่าอากาศยานนานาชาติเฉิงตูเทียนฝู่ จะช่วยเพิ่มศักยภาพโครงสร้างพื้นฐานให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น รองรับการพัฒนาของศูนย์กลางการบินระดับนานาชาติในภูมิภาค

8

๒. เร่งสร้างเครือข่าย “เส้นทางสายไหมทางอากาศ” คุณภาพสูง
นครเฉิงตูเร่งพัฒนาเครือข่ายเส้นทางสายไหมทางอากาศ โดยเน้น “ระเบียงขนส่งสินค้าทางอากาศเอเชีย-ยุโรป ๑๑ ชั่วโมง” และ “วงแหวนขนส่งสินค้าทางอากาศเอเชีย-แปซิฟิก ๕ ชั่วโมง” พร้อมทั้งฟื้นฟูและขยายเส้นทางบินระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบัน มีเส้นทางบินตรงระหว่างประเทศสำหรับผู้โดยสารจำนวน ๔๔ เส้นทางในฤดูหนาว – ฤดูใบไม้ผลิปี ๒๕๖๗ อยู่ในอันดับ ๔ ของประเทศและอันดับ ๑ ในภูมิภาคตะวันตก นอกจากนี้ ยังมีเส้นทางบินขนส่งสินค้าเชื่อมต่อกับยุโรป อเมริกาเหนือ แอฟริกา และเอเชียรวม ๒๖ เส้นทาง ซึ่งช่วยเสริมสร้างเครือข่ายหลักด้านการขนส่งสินค้าทางอากาศ

9

๓. พัฒนาการควบคู่ของผู้โดยสารและการขนส่งสินค้า
ศูนย์กลางการบินนานาชาติเฉิงตูยึดหลัก “พัฒนาไปพร้อมกันทั้งผู้โดยสารและสินค้า” โดยผลักดันท่าอากาศยานนานาชาติเฉิงตูเทียนฝู่ให้สร้างเครือข่ายเส้นทางบินระดับนานาชาติ และพัฒนาท่าอากาศยานเฉิงตูซวงหลิวให้เป็นศูนย์กลางเส้นทางบินธุรกิจคุณภาพสูง ผลที่ได้คือปริมาณการขนส่งเพิ่มขึ้นทุกปี สำหรับผู้โดยสาร ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนธันวาคม ๒๕๖๗ ศูนย์กลางนี้รองรับผู้โดยสารกว่า ๘๗.๓๓๖ ล้านคน เป็นอันดับ ๓ ของประเทศ ส่วนการขนส่งสินค้าและไปรษณีย์ ณ วันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๖๗ ศูนย์กลางนี้ได้ทะลุยอด ๑ ล้านตันต่อปี ทำให้นครเฉิงตูกลายเป็นเมืองที่ ๕ ของจีนที่เข้าสู่ “เครือข่ายการขนส่งสินค้าทางอากาศระดับล้านตัน (Million-ton Aviation Club)” ต่อจากนครเซี่ยงไฮ้ กรุงปักกิ่ง นครกว่างโจว และเมืองเซินเจิ้น

10

 

ศักยภาพศูนย์กลางการบินนานาชาติของนครเฉิงตู ทะยานขึ้นสู่อันดับ ๒ ของประเทศ ในด้านจุดหมายปลายทางยอดนิยมในเส้นทางการบินภายในประเทศและจำนวนผู้โดยสารที่เปลี่ยนเที่ยวบินในเส้นทางภายในประเทศ

 

11

 

ตามรายงาน “2024 China Aviation Hub Cities Six-Dimensional Ranking” ของบริษัท Umetrip ซึ่งเป็นการจัดอันดับเมืองศูนย์กลางการบินของจีนประจำปี ๒๕๖๗ โดยทางบริษัทมีผู้ใช้บริการเกิน ๑ ร้อยล้านคน และเป็นบริการข้อมูลการบินพลเรือนที่พัฒนาโดยบริษัท China Aviation Information Technology Co., Ltd. รายงานการจัดอันดับนี้อ้างอิงจากข้อมูลต่าง ๆ เช่น ปริมาณขึ้น – ลงของเที่ยวบิน การขนส่งผู้โดยสาร และข้อมูลอื่น ๆ ที่รวบรวมระหว่างวันที่ ๑ มกราคม ถึง ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๗ และจัดอันดับเมืองสิบอันดับแรกจากในหกมิติ

 

12

 

ในรายงานที่เผยแพร่ออกมา พบว่ามีทั้งหมด ๑๖ เมืองที่ได้รับการจัดอันดับ โดยนครเซี่ยงไฮ้ได้รับการจัดอันดับในอันดับที่หนึ่งถึง ๓ ด้าน ส่วนกรุงปักกิ่งก็สามารถรักษาตำแหน่งในอันดับท็อปสามในทุกด้านได้ โดยเมืองที่ได้อันดับหนึ่งในสิบในทุกด้าน ได้แก่ กรุงปักกิ่ง นครเซี่ยงไฮ้ นครกวางโจว เมืองเซินเจิ้น และนครเฉิงตู โดยเฉพาะนครเฉิงตูที่มีผลงานโดดเด่น สามารถติดอันดับหนึ่งในสามได้ถึง ๔ ด้าน ได้แก่ จุดหมายปลายทางยอดนิยมในเส้นทางการบินภายในประเทศและจำนวนผู้โดยสารที่เปลี่ยนเที่ยวบินในเส้นทางภายในประเทศ ซึ่งนครเฉิงตูอยู่ในอันดับที่สองของทั้งสองด้าน ขณะเดียวกัน นครเฉิงตูยังได้อันดับที่สามของประเทศจีนในมิติของจำนวนเที่ยวบินและปริมาณผู้โดยสาร

ในปี ๒๕๖๗ นครเฉิงตูสามารถเข้าสู่สามอันดับแรกในทั้งสองมิติของจำนวนเที่ยวบินและปริมาณผู้โดยสารของประเทศ
ในการจัดอันดับ ๑๐ เมืองที่มีจำนวนเที่ยวบินขึ้น – ลงสูงสุดประจำปี ๒๕๖๗ และอันดับ ๑๐ เมืองที่มีปริมาณผู้โดยสารสูงสุดประจำปี ๒๕๖๗ โดยจำนวนเที่ยวบินขึ้น – ลงถือเป็นดัชนีที่สำคัญในการประเมินประสิทธิภาพของการดำเนินงานของท่าอากาศยาน และปริมาณผู้โดยสารที่ผ่านท่าอากาศยานก็เป็นสัญลักษณ์ของระดับการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และความเปิดกว้างของพื้นที่นั้น ๆ ซึ่งทั้งสองมิตินี้มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด ในทั้งสองด้านนี้ นครเฉิงตูได้อันดับที่สามของประเทศ โดยอันดับหนึ่งและสองเป็นกรุงปักกิ่งและนครเซี่ยงไฮ้ตามลำดับ

  

13  

การเติบโตอย่างรวดเร็วของจำนวนเที่ยวบินขึ้น-ลงในท่าอากาศยานทั้งสองแห่งของนครเฉิงตูสะท้อนถึงตำแหน่งศูนย์กลางการบินที่มีการยกระดับขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเว็บไซต์ทางการของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศจีน (CAAC- Civil Aviation Administration of China) ได้เผยแพร่ “สถิติการดำเนินงานท่าอากาศยานขนส่งพลเรือนแห่งชาติของจีน ประจำปี ๒๕๖๗” (ไม่รวมเขตฮ่องกง มาเก๊าและไต้หวัน) ซึ่งเปิดเผยข้อมูลการจัดอันดับท่าอากาศยานที่มีเที่ยวบินและยอดผู้โดยสารมากที่สุดในปี ๒๕๖๗ โดยศูนย์กลางการบินนานาชาตินครเฉิงตูมีจำนวนผู้โดยสารขาเข้า – ขาออกรวมทั้งสิ้น ๘๗.๓๓๖ ล้านคน ตอกย้ำสถานะ “เมืองศูนย์กลางการบินอันดับ ๓” ของจีนแผ่นดินใหญ่ โดย ๓ ดัชนีหลัก ที่ใช้ประเมินการดำเนินงานท่าอากาศยานขนส่งพลเรือน ได้แก่ (๑) ปริมาณผู้โดยสารขาเข้า – ขาออก (๒) ปริมาณขนส่งสินค้าและไปรษณียภัณฑ์ และ (๓) จำนวนเที่ยวบินขาเข้า – ขาออก

ศูนย์กลางการบินนานาชาตินครเฉิงตูประกอบด้วยท่าอากาศยานนานาชาติเฉิงตูเทียนฝู่และท่าอากาศยานนานาชาติเฉิงตูซวงหลิว รองรับผู้โดยสารรวม ๘๗.๓๓๖ ล้านคน ทำให้นครเฉิงตูเป็น “เมืองการบินอันดับ ๓” ของจีน รองจากนครเซี่ยงไฮ้และกรุงปักกิ่ง โดยท่าอากาศยานนานาชาติเฉิงตูเทียนฝู่ ให้บริการผู้โดยสาร ๕๔.๙๐๖ ล้านคน (เพิ่มขึ้นร้อยละ ๒๒.๖) นับเป็นอันดับที่ ๕ ของจีน และท่าอากาศยานนานาชาติเฉิงตูซวงหลิว ให้บริการผู้โดยสาร ๓๒.๔๓ ล้านคน (เพิ่มขึ้นร้อยละ ๗.๖) นับเป็นอันดับที่ ๑๒ ของจีน

ภายในจำนวนดังกล่าว มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ (ไม่รวมฮ่องกง มาเก๊า และไต้หวัน) รวมทั้งสิ้นประมาณ ๑.๑๔ ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึงร้อยละ ๑๙๐ และสร้างรายได้ทางการท่องเที่ยวกว่า ๑.๖๑๗ หมื่นล้านหยวน (๒.๒๖ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ)เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ ๓๐๐ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวหลังโควิด-๑๙ และความสามารถของนครเฉิงตูในการดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ และเวียดนาม การเติบโตนี้ยังสอดคล้องกับการจัดอันดับของ Ctrip Travel ที่ระบุว่านครเฉิงตูเป็น “เมืองอันดับหนึ่งที่นักท่องเที่ยวต่างชาติค้นหาและเลือกเดินทางมามากที่สุดในจีนในปี ๒๕๖๗”

ทั้งนี้ ท่าอากาศยานในพื้นที่นครเฉิงตู – นครฉงชิ่ง ให้บริการผู้โดยสารรวม ๑๕๐ ล้านคน (เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๓.๐ จากปีก่อนหน้า) และท่าอากาศยานในพื้นที่อื่น ๆ ของมณฑลเสฉวน ให้บริการผู้โดยสารรวม ๙๙.๘๓๕ ล้านคน

ในปี ๒๕๖๗ ท่าอากาศยานศูนย์กลางการบินนานาชาติเฉิงตู ทำสถิติขนส่งสินค้าและไปรษณีย์ทะลุ ๑ ล้านตันครั้งแรก โดยขนส่งสินค้าและไปรษณียภัณฑ์ น้ำหนักรวม ๑.๐๒๘ ล้านตัน นับเป็นอันดับที่ ๕ รองจากนครเซี่ยงไฮ้ นครกว่างโจว เมืองเซินเจิ้น และกรุงปักกิ่ง โดยขยับขึ้น ๑ อันดับจากปีก่อนหน้า

ในจำนวนดังกล่าว ท่าอากาศยานนานาชาติเฉิงตูเทียนฝู่ ขนส่งสินค้าและไปรษณียภัณฑ์ ๓๘๕,๐๐๐ ตันเพิ่มขึ้นร้อยละ ๕๖.๕ นับเป็นอันดับที่ ๑๓ (ขึ้นมา ๒ อันดับ) โดยมีอัตราการเติบโตสูงสุดในบรรดา ๔๐ ท่าอากาศยานระดับ “ผู้โดยสาร ๑๐ ล้านคน” และท่าอากาศยานนานาชาติเฉิงตูซวงหลิว ขนส่งสินค้าและไปรษณียภัณฑ์ ๖๔๓,๐๐๐ ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ ๒๒ จากปีก่อนหน้า นับเป็นอันดับที่ ๘

สายการบิน Sichuan Airlines ซึ่งเป็นหนึ่งในสายการบินหลักของนครเฉิงตูได้ลงทุนกว่าร้อยละ ๕๐ ในนครเฉิงตู โดยในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๗ สายการบินนี้ได้ขนส่งผู้โดยสารไปแล้วประมาณ ๑๗.๙ ล้านคน ซึ่งคิดเป็นร้อยละ ๒๒.๔  ของจำนวนผู้โดยสารทั้งหมดที่ผ่านท่าอากาศยานนครเฉิงตู

สายการบินแห่งชาติ (Air China) ซึ่งเป็นหนึ่งในสายการบินหลักที่มีฐานปฏิบัติการอยู่ในนครเฉิงตู ได้มีการวางแผนขยายการดำเนินงานในนครเฉิงตูมากขึ้น โดยนายจ้าว หยาง ผู้จัดการใหญ่ของสาขาภาคตะวันตกเฉียงใต้ของสายการบินแห่งชาติ ระบุว่า ในอนาคต สายการบินแห่งชาติจะพยายามเปิดเส้นทางบินข้ามทวีปหรือเส้นทางบินในเอเชียกลางใหม่อีก ๑ – ๒ เส้นทาง รวมทั้งจะมุ่งมั่นหาทางเปิดให้บริการเส้นทางบินไปยังประเทศญี่ปุ่นและกรุงปารีสอีกครั้ง

สายการบินกาตาร์แอร์เวย์ (Qatar Airways) ซึ่งมุ่งเน้นการเป็นศูนย์กลางการบิน เลือกตั้งจุดบินในนครเฉิงตู เนื่องจากมองเห็นศักยภาพของตลาดการบินที่มีความคึกคักในฐานะศูนย์กลางของนครเฉิงตู นายหวง จิ้นปัง ผู้จัดการใหญ่ประจำเขตจีนแผ่นดินใหญ่ของสายการบินดังกล่าว ระบุว่า “เส้นทางบินระหว่างนครเฉิงตูกับกรุงโดฮาเป็นเส้นทางบินระหว่างประเทศเพียงเส้นทางเดียวที่สายการบินต่างชาติให้บริการเชื่อมนครเฉิงตูกับเมืองในตะวันออกกลาง โดยอัตราการขนส่งผู้โดยสารตั้งแต่เริ่มเปิดให้บริการในรอบปีที่ผ่านมาอยู่ที่เกือบร้อยละ ๑๐๐”

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา นครเฉิงตูในฐานะศูนย์กลางการบิน มีปริมาณผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยเพิ่มขึ้น ๑๐ ล้านคนทุก ๓ ปี หลังจากท่าอากาศยานนานาชาติเฉิงตูเทียนฝู่เปิดดำเนินการ เพียงเวลา ๓ ปีครึ่ง ท่าอากาศยานแห่งนี้สามารถเพิ่มปริมาณผู้โดยสารต่อปีจากศูนย์เป็น ๕๐ ล้านคน ทำลายสถิติใหม่ของการบินพลเรือนในประเทศจีน

ปริมาณผู้โดยสารที่เดินทางผ่านนครเฉิงตูเพิ่มขึ้นถึง ๒ เท่า ในเส้นทางบินระหว่างประเทศ/เส้นทางฮ่องกง มาเก๊า และไต้หวัน
ในนิตยสารจัดอันดับศักยภาพศูนย์กลางการบิน “๑๐ เมืองที่มีปริมาณผู้โดยสารต่อเครื่องในเส้นทางบินภายในประเทศสูงสุด” และ “๑๐ เมืองที่มีปริมาณผู้โดยสารต่อเครื่องในเส้นทางบินระหว่างประเทศ/ฮ่องกง มาเก๊า ไต้หวันสูงสุดประจำปี ๒๕๖๗” นครเฉิงตูครองอันดับที่ ๒ และอันดับที่ ๖ ตามลำดับ โดยในส่วนของเส้นทางบินภายในประเทศ นครเฉิงตูมีปริมาณผู้โดยสารรองจากกรุงปักกิ่งเท่านั้น

  14 

  15  

ปริมาณผู้โดยสารต่อเครื่อง เป็นตัวชี้วัดสำคัญในการประเมินศักยภาพของท่าอากาศยานในฐานะศูนย์กลางการบิน ซึ่งสะท้อนถึงอัตราการเปลี่ยนเครื่องที่สูง ช่วยเพิ่มทางเลือกและความสะดวกสบายให้แก่ผู้โดยสาร รวมทั้งลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางอีกด้วย ในฐานะเมืองการบินอันดับสามของจีน นครเฉิงตูมีความได้เปรียบด้านที่ตั้งและทรัพยากรการท่องเที่ยว

ที่โดดเด่นมากขึ้นเรื่อยๆ นายจ้าว หนาน ผู้จัดการใหญ่ฝ่ายพัฒนาอุตสาหกรรมของ Umetrip ระบุว่า ในปี ๒๕๖๗ เที่ยวบินผู้โดยสารระหว่างประเทศและภูมิภาคฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งเส้นทางบินเปลี่ยนเครื่องระหว่างประเทศที่เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ปริมาณผู้โดยสารเปลี่ยนเครื่องเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยจากข้อมูลของ Umetrip ปริมาณผู้โดยสารเปลี่ยนเครื่องในเส้นทางบินระหว่างประเทศ/ฮ่องกง มาเก๊า และไต้หวันของนครเฉิงตูในปี ๒๕๖๗ เพิ่มขึ้นประมาณ ๑.๒ เท่า เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

นายซุน เส้าฉียง รองเลขาธิการพรรคและผู้จัดการใหญ่ของ Sichuan Airport Group กล่าวเสริมว่า “ปัจจุบัน นครเฉิงตูมีเส้นทางบินระหว่างประเทศและภูมิภาคสำหรับผู้โดยสาร ๕๐ เส้นทาง และเส้นทางขนส่งสินค้า ๓๓ เส้นทาง สร้าง “สะพานทองทางอากาศของมณฑลเสฉวน” ที่เชื่อมเส้นทางสายไหม เชื่อมตรงถึงยุโรปและอเมริกา และเชื่อมต่อทั้งห้าทวีป นอกจากนี้ ในปี ๒๕๖๗ ท่าอากาศยานร่วมกับสายการบิน Air China และ Sichuan Airlines ยังได้รับการอนุมัติเที่ยวบินต่อเครื่องระหว่างประเทศ ๑๖ เส้นทาง ทำให้อัตราการเปลี่ยนเครื่องของผู้โดยสารในประเทศสูงเป็นอันดับต้นๆ”

ในปี ๒๕๖๗ นครเฉิงตูอาศัยความร่วมมือระหว่าง ท่าอากาศยานนานาชาติเฉิงตูซวงหลิว และท่าอากาศยานนานาชาติเฉิงตูเทียนฝู่ เพื่อสร้างผลลัพธ์ร่วมที่ “๑+๑>๒” โดยมีการเปิดเส้นทางบินตรงไปยังโอ๊คแลนด์ มิลาน เวียนนา แฟรงก์เฟิร์ต และเพิ่มความถี่เส้นทางบินตรงไปยังนครแวนคูเวอร์ นครลอสแอนเจลิส นครซิดนีย์ และเมืองเมลเบิร์น นอกจากนี้ ในปี ๒๕๖๘ ยังมีแผนเปิดเส้นทางใหม่จากนครเฉิงตูไปยังกรุงมาดริด และปรับปรุงเส้นทางนครเฉิงตู – นครอิสตันบูลให้ต่อขยายไปถึงกรุงเอเธนส์

นายจ้าว หนานฯ กล่าวว่า ด้วยความต้องการการเดินทางทางอากาศของผู้โดยสารในประเทศที่เพิ่มขึ้น คนจำนวนมากขึ้นเริ่มพิจารณาเลือกเที่ยวบินเปลี่ยนเครื่อง การเพิ่มปริมาณการเปลี่ยนเครื่องทั้งในเที่ยวบินภายในประเทศและระหว่างประเทศเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า นครเฉิงตูประสบความสำเร็จอย่างมากในการพัฒนาความเชื่อมโยงของเครือข่ายบริการการขนส่งทางอากาศ

อันดับที่ ๕ ของประเทศในเส้นทางบินขาเข้าระหว่างประเทศ แสดงถึงการเปิดกว้างของนครเฉิงตูที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง
ปริมาณผู้โดยสารเปลี่ยนเครื่องที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นอีกหนึ่งตัวชี้วัด “ความร้อนแรง” ของเมือง ในการจัดอันดับ “๑๐ เมืองปลายทางยอดนิยมในเส้นทางบินภายในประเทศประจำปี ๒๕๖๗” นครเฉิงตูครองอันดับที่ ๒ รองจากกรุงปักกิ่งเท่านั้น อีกทั้งในการจัดอันดับ “๑๐ เมืองปลายทางยอดนิยมในเส้นทางบินขาเข้าระหว่างประเทศประจำปี ๒๕๖๗” นครเฉิงตูก็สามารถขึ้นสู่อันดับที่ ๕ ของประเทศได้เช่นกัน

  16  

  17  

 

นายจ้าว หนานฯ ระบุว่า เมืองที่ติดอันดับทั้งสองรายการในปี ๒๕๖๗ ล้วนเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ อีกทั้งยังมีปริมาณผู้โดยสารเปลี่ยนเครื่องในอันดับต้น ๆ และมีโครงสร้างพื้นฐานของท่าอากาศยานที่สมบูรณ์ นอกจากนี้ เมืองเหล่านี้ส่วนใหญ่ยังเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมด้านการท่องเที่ยว ซึ่งมีศักยภาพสูงในการรองรับนักท่องเที่ยว

นครเฉิงตูมีบทบาทที่โดดเด่นในกลุ่มเมืองเหล่านี้ โดยสามารถติดอันดับ ๕ อันดับแรกทั้งในเส้นทางบินภายในประเทศและเส้นทางบินขาเข้าระหว่างประเทศ

เมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๖๗ สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองแห่งชาติได้ประกาศปรับปรุงนโยบาย การผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองแบบไม่ต้องขอวีซ่า โดยขยายระยะเวลาการพำนักสำหรับชาวต่างชาติที่ผ่านการตรวจคนเข้าเมืองในจีนจาก ๗๒ ชั่วโมงและ ๑๔๔ ชั่วโมง เป็น ๒๔๐ ชั่วโมง (๑๐ วัน) พร้อมเพิ่มด่านเข้า – ออก ๒๑ แห่งสำหรับผู้เดินทางที่ผ่านด่าน และขยายพื้นที่สำหรับกิจกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งช่วยให้นครเฉิงตูที่มีทรัพยากรทางวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวที่หลากหลาย สามารถรองรับนักท่องเที่ยวขาเข้าได้มากขึ้น

ด้วยนโยบายที่อำนวยความสะดวกสำหรับชาวต่างชาติที่เดินทางมายังจีน ความนิยมของ “China travel” และ “City Walk” ยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลระบุว่าเมื่อวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ ท่าอากาศยานนครเฉิงตูมีจำนวนผู้เดินทางเข้า – ออกนานาชาติทะลุ ๕ ล้านคนต่อปี เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึงร้อยละ ๑๑๔.๗ และจำนวนเที่ยวบินและผู้เดินทางขาเข้า – ออกอยู่ในอันดับ ที่ ๔ ของประเทศ และอันดับ ๑ ในภาคตะวันตกและภาคกลางของจีน โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวต่างชาติมากกว่า ๑ ล้านคน ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๘๑.๘ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

เมื่อมองย้อนกลับไปในปี ๒๕๖๗ ด้วยการเร่งพัฒนานครเฉิงตูให้เป็นศูนย์กลางการบินระหว่างประเทศ ทำให้นครเฉิงตูมีระดับการเปิดกว้างที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น และในปี ๒๕๖๘ นครเฉิงตูมีแผนที่จะเปิดกว้างอย่างต่อเนื่อง เสริมศักยภาพในฐานะศูนย์กลางการบิน และเพิ่มเครือข่ายเส้นทางบินทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ เพื่อรองรับนักเดินทางจากทั่วทุกมุมโลกอย่างเต็มที่

ทำไมนครเฉิงตูถึงสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้มากขึ้นเรื่อย ๆ ?
“เหตุผลแรกคือนครเฉิงตูในฐานะศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนทางการทูตในภาคตะวันตกที่มีอิทธิพลเพิ่มขึ้นในต่างประเทศ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเหตุผลที่สองคืออิทธิพลของอินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียที่ช่วยขับเคลื่อนชื่อเสียงระดับนานาชาติของเฉิงตู” นายอิ่งหงเยียน ผู้จัดการแผนกท่องเที่ยวไทยจากบริษัทท่องเที่ยวจีนในมณฑลเสฉวน กล่าว

 

18

 

 นักท่องเที่ยวไทยมาเยือนนครเฉิงตูถึงสี่ครั้งในหนึ่งปี ชาวมาเลเซีย ๒๐๐,๐๐๐ คนเข้ามาท่องเที่ยวเฉิงตู
เมื่อเดินไปตามท้องถนนในเฉิงตู จะสามารถพบกลุ่มนักท่องเที่ยวหนุ่มสาวพูดภาษาจีนสำเนียงมาเลเซียอย่างคล่องแคล่ว ในห้าง IFS และถนนไท่กู่หลี่ (Taikoo Li) มักพบเห็นนักท่องเที่ยวจากประเทศไทย มาเลเซีย เวียดนาม สิงคโปร์ และประเทศอื่น ๆ อยู่เสมอ

 

19

 

ในปี ๒๕๖๗ การลงทะเบียนที่พักของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาถึงนครเฉิงตูมีจำนวนเกือบ ๑.๔๙ ล้านคน ซึ่งทำลายสถิติสูงสุดตลอดกาล จนถึงวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๖๘ มีนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาท่าอากาศยานนครเฉิงตูเกือบ ๑๕,๐๐๐ คน เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๕ โดยสามประเทศที่นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามามากที่สุดคือ ไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ ข้อมูลจาก Ctrip ระบุว่า เมื่อเทียบกับปีก่อน นักท่องเที่ยวมีการใช้จ่ายในนครเฉิงตูประมาณ ๑.๖๑๗ พันล้านหยวน (๒๒๖.๓๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพิ่มขึ้นร้อยละ ๓๐๐ ซึ่งอยู่ในลำดับแนวหน้าของเมืองหลักทั่วประเทศ ทั้งนี้ แผนที่ความนิยมแหล่งท่องเที่ยวจีนปี ๒๕๖๗ ที่เผยแพร่โดย Ctrip ในเดือนมกราคม ๒๕๖๗ ระบุว่า นครเฉิงตูครองอันดับหนึ่งในเมืองที่ชาวต่างชาติค้นหามากที่สุด และเป็น
เมืองปลายทางท่องเที่ยวขาเข้าที่ได้รับความนิยมสูงสุด

“คาดว่าปีนี้จะเป็นปีที่การท่องเที่ยวจากไทยมาเฉิงตูจะคึกคักที่สุดในรอบ ๒๐ ปี” นายหลินเสี่ยง ไกด์นำเที่ยวจากบริษัทท่องเที่ยวจีนของมณฑลเสฉวน (Sichuan China Travel Service Co., Ltd.) กล่าว “เมื่อก่อน ช่วงต้นเดือนมกราคมถึงปลายเดือนกุมภาพันธ์ สำหรับเราไกด์ไทยแทบจะเป็นช่วงเวลาพักผ่อนแต่ปีนี้งานของผมเต็มหมดจนต้องทำงานจนถึงหลังเทศกาลตรุษจีน”

นายอิ่ง หงเยียน ผู้จัดการแผนกท่องเที่ยวไทยจากบริษัทท่องเที่ยวจีนในมณฑลเสฉวน กล่าวว่า ตั้งแต่เดือนมกราคม ๒๕๖๘ จำนวนผู้เดินทางจากไทยมานครเฉิงตูเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ ๓๐ “ในปี ๒๕๖๗ การท่องเที่ยวจากไทยไปนครเฉิงตูฟื้นตัวกลับมาแล้วและเติบโตขึ้นกว่าร้อยละ ๒๐ เมื่อเทียบกับปี ๒๕๖๒”

โอกาสของไทยในการดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนและพัฒนาศูนย์กลางการบินไทย-จีน

๑. ดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนจากนครเฉิงตู

ศักยภาพตลาดนครเฉิงตู: นครเฉิงตูมีประชากรกว่า ๒๐ ล้านคน เป็นหนึ่งในเมืองเศรษฐกิจสำคัญของจีนตะวันตก และกำลังกลายเป็นตลาดนักท่องเที่ยวขาออกที่เติบโตอย่างรวดเร็ว หลังการเปิดประเทศของจีน ในปี ๒๕๖๖ เป็นต้นมา ชาวเฉิงตูเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศมากขึ้น โดยไทยถือเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมอันดับต้นๆ ทั้งนี้ สถิติปี ๒๕๖๗ – ๒๕๖๘ ระบุว่า หลังไทย – จีนตกลงยกเว้นวีซ่าให้ผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดา (มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๖๗) มีผู้โดยสารจากนครเฉิงตูเดินทางเข้าไทยกว่า ๕๑๑,๐๐๐ คน (เพิ่มขึ้นร้อยละ ๔๕.๑ เมื่อเทียบปีต่อปี) ซึ่งสะท้อนความต้องการเดินทางที่เพิ่มสูงขึ้นและโอกาสในการขยายตลาดนักท่องเที่ยวจีนจากเมืองนี้

พฤติกรรมและความสนใจของนักท่องเที่ยวจีนยุคใหม่ นักท่องเที่ยวจีน (รวมถึงกลุ่มจากนครเฉิงตู) มีพฤติกรรมเปลี่ยนไปหลังโควิด-๑๙ โดยเทรนด์สำคัญ ได้แก่ การเติบโตของกลุ่มนักท่องเที่ยวอิสระ (FIT- Free Independent Travelers) ที่นิยมเดินทางเองมากขึ้นแทนกรุ๊ปทัวร์ ความสนใจในประสบการณ์ท่องเที่ยวแบบหรูหราและเฉพาะบุคคล การให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติและความยั่งยืน กระแสท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ (เช่น สปาและการแพทย์) ตลอดจนความต้องการสัมผัสวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างแท้จริง นอกจากนี้ สื่อสังคมออนไลน์ของจีนมีบทบาทสูงมากในการกำหนดจุดหมายที่ “ต้องไป” ของนักท่องเที่ยวจีนรุ่นใหม่มักค้นหาและแบ่งปันสถานที่เที่ยวที่สวยงามแปลกใหม่ผ่านแพลตฟอร์มอย่าง Xiaohongshu (โซเชียลรีวิว) และ Douyin (TikTok จีน) ตัวอย่างเช่น จุดถ่ายรูปยอดนิยมที่นักท่องเที่ยวจีนชื่นชอบในไทย ได้แก่ ตลาดน้ำ คาเฟ่สวยๆ หรือชายหาดและบาร์รูฟท็อปที่มีบรรยากาศดี ซึ่งได้รับความนิยมในโซเชียลมาก ขณะเดียวกัน นักท่องเที่ยวจีนคาดหวังความสะดวกด้านดิจิทัลระหว่างเที่ยวไทย เช่น การใช้จ่ายผ่านมือถือ (Alipay/WeChat Pay) และการมีข้อมูลรีวิว/แผนที่ภาษาจีนให้บริการ

จุดแข็งของไทยที่ตรงใจนักท่องเที่ยวจีน: ไทยมีจุดขายหลายด้านที่สอดคล้องกับความสนใจของชาวจีน เช่น ทรัพยากรการท่องเที่ยวหลากหลาย ทั้งทะเลสวย (ภูเก็ต สมุย กระบี่) แหล่งช้อปปิ้งและอาหาร (กรุงเทพฯ) วัฒนธรรมและธรรมชาติ (เชียงใหม่ อยุธยา) ซึ่งเมืองหลักเหล่านี้ล้วนติดอันดับจุดหมายยอดนิยมของชาวจีนก่อนโควิด-๑๙ นอกจากนี้ ความคุ้มค่าและการบริการของไทยก็เป็นที่ยอมรับ เช่น โรงแรมรีสอร์ตคุณภาพสูงในราคาที่ถูกกว่าประเทศตะวันตก ร้านอาหารและสตรีทฟู้ดชื่อดัง รวมถึงการบริการเป็นมิตร ทำให้นักท่องเที่ยวจีนรู้สึกคุ้มและประทับใจ ไทยยังมีความพร้อมด้านการต้อนรับชาวจีน ทั้งร้านค้าหลายแห่งรองรับระบบจ่ายเงินจีนและพนักงานที่สื่อสารภาษาจีนได้ ซึ่งภาคธุรกิจไทยพยายามยกระดับขึ้นอย่างต่อเนื่อง

กลยุทธ์ดึงดูดนักท่องเที่ยวจีน (เน้นเฉิงตู): ไทยอาจดำเนินกลยุทธ์การตลาดเชิงรุกในเมืองเป้าหมายอย่างนครเฉิงตูและหัวเมืองใหญ่อื่นๆ ของจีน ผ่าน (๑) การส่งเสริมการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์และ KOL (Key Opinion Leaders หรือ Influencer) จีนเนื่องจากชาวเฉิงตูนิยมใช้งานโซเชียลมีเดียจีน การโฆษณาและทำคอนเทนต์ผ่านแพลตฟอร์มอย่าง WeChat, Weibo, Xiaohongshu ควบคู่กับการเชิญ KOL จีนมารีวิวประสบการณ์เที่ยวไทย จะช่วยสร้างกระแสความต้องการได้อย่างมาก งานส่งเสริมล่าสุดของ ททท. เช่น โครงการ “Sawadee Nihao” ได้เชิญสื่อและ KOL จีนกว่า ๒๐๐ รายมาสัมผัสประสบการณ์ไทย ซึ่งคาดว่าจะสร้างเข้าถึงผู้ชมถึง ๓๕๐ ล้านคน ต่อเนื่องด้วยโครงการ “Nihao Month” ช่วงปลายปี ๒๕๖๘ เพื่อฉลองความสัมพันธ์ไทย – จีน ๕๐ ปี และการเปิดตัวทูตการท่องเที่ยวชาวจีนก็เป็นอีกกลยุทธ์ที่จะดึงความสนใจกลุ่มเป้าหมายได้(๒) ยกระดับบริการรองรับนักท่องเที่ยวจีน ภาคการท่องเที่ยวไทยอาจเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกที่ชาวจีนให้ความสำคัญ เช่น บุคลากรที่สื่อสารภาษาจีน สื่อข้อมูลภาษาจีน ตามสถานที่เที่ยว จุดรับชำระ Alipay/ WeChat อย่างทั่วถึงในร้านค้าและแหล่งท่องเที่ยว และบริการ Tax Refund ที่สะดวกรวดเร็ว นักท่องเที่ยวจีนเป็นกลุ่มที่มียอดใช้จ่ายสูง (ชาวจีนเคยครองอันดับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ใช้จ่ายสูงสุดในไทย) การอำนวยความสะดวกด้านช้อปปิ้งและคืนภาษีจะกระตุ้นการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นได้ (๓) สร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยและภาพลักษณ์ เหตุการณ์ข่าวด้านลบช่วงที่ผ่านมา (เช่น กรณีนักแสดงจีนถูกคุมตัวในป่าส่งผลต่อภาพลักษณ์ความปลอดภัย และข่าวแผ่นดินไหวเมียนมาที่สร้างความกังวล) กระทบต่อความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยวจีน ไทยจึงควรสื่อสารเชิงรุกว่าประเทศไทยมีมาตรการดูแลนักท่องเที่ยวเป็นอย่างดี โดยเฉพาะในเมืองหลักที่ชาวจีนเดินทางมา โดยย้ำว่า กรุงเทพฯ เป็นเมืองปลอดภัยและอัตราอาชญากรรมต่ำ เพื่อเร่งฟื้นความมั่นใจนักท่องเที่ยวจีน นอกจากนี้ การรักษามาตรฐานสุขอนามัยหลังโควิดก็ยังสำคัญ เช่น ความสะอาดในโรงแรม ร้านอาหารและการคัดกรองโรค ซึ่งจะทำให้ชาวจีนรู้สึกมั่นใจมาเที่ยวมากขึ้น (๔) มาตรการส่งเสริมภาครัฐ รัฐบาลไทยสามารถสนับสนุนผ่านนโยบายอำนวยความสะดวกด้านวีซ่าและเที่ยวบิน อาทิ การต่ออายุโครงการยกเว้นวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวจีนและการเจรจาขยายเที่ยวบินตรงจากเมืองจีนต่างๆ โดยเฉพาะนครเฉิงตูมายังไทย ปัจจุบันทางการจีน (CAAC) ก็ได้ประสานกับการบินพลเรือนไทยให้เพิ่มเที่ยวบินระหว่างกันจากเดิมสัปดาห์ละ ๓ เที่ยวเป็น ๑๕ เที่ยว (ตั้งแต่ปี ๒๕๖๕ ที่จีนเริ่มผ่อนคลายโควิด) นอกจากนี้ ททท. ยังใช้งบกระตุ้นตลาดจีนด้วยการสนับสนุนเที่ยวบินเช่าเหมาลำ (charter flight) ซึ่งทำให้ตลาดเมืองรองขยายตัว โดยในปี ๒๕๖๘ คาดว่าเที่ยวบินเช่าเหมาลำจากเฉิงตูจะเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ ๑๖๔ เมื่อเทียบปีที่ผ่านมา (ถือเป็นอัตราเติบโตสูงสุดเมื่อเทียบกับกรุงปักกิ่งที่ร้อยละ ๒๖ และนครเซี่ยงไฮ้ที่ร้อยละ ๑๑๗)

ความสำเร็จของตลาดท่องเที่ยวเฉิงตู – ไทย ฝั่งการท่องเที่ยวจีนเองก็รายงานว่าช่วงปี ๒๕๖๗ – ๒๕๖๘ นครเฉิงตูกลายเป็นหนึ่งใน ๓ เมืองจีนที่ชาวต่างชาติ (รวมถึงชาวไทย) นิยมเที่ยวมากที่สุด ด้วยเหตุผลด้านระบบชำระเงินและบริการที่พัฒนาดี ทำให้นักท่องเที่ยวไทยเดินทางไปนครเฉิงตูสะดวก (ร้านค้า ๖๓,๐๐๐ แห่งในนครเฉิงตูรับบัตรเครดิต/เดบิตต่างประเทศ และมีร้านค้าคืนภาษีทันที ๔๙ แห่ง) ขณะเดียวกัน ในปี ๒๕๖๘ ชาวไทยเองเดินทางไปนครเฉิงตูมากเป็นประวัติการณ์ (เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ ๒๒๓ ต่อปี) สืบเนื่องจากนโยบายยกเว้นวีซ่าเช่นกัน สิ่งนี้สะท้อนว่า มาตรการวีซ่าและเที่ยวบินที่ผ่อนคลายสามารถกระตุ้นการเดินทางอย่างชัดเจน ซึ่งไทยอาจใช้บทเรียนนี้ส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวจีน (โดยเฉพาะจากเมืองที่มีศักยภาพอย่างนครเฉิงตู) มาเที่ยวไทยได้ง่ายและบ่อยขึ้น

๒. พัฒนาท่าอากาศยานไทยสู่ศูนย์กลางการบินภูมิภาค: บทเรียนจากโมเดลท่าอากาศยานคู่เฉิงตู (Dual-Airport)

นครเฉิงตูเป็นเมืองที่สามในจีน (ต่อจากกรุงปักกิ่งและนครเซี่ยงไฮ้) ที่มีท่าอากาศยานนานาชาติหลักถึง ๒ แห่ง ได้แก่ ท่าอากาศยานซวงหลิว (CTU) และ ท่าอากาศยานนานาชาติเฉิงตูเทียนฟู่ (TFU) โดยท่าอากาศยานนานาชาติเฉิงตูเทียนฟู่เปิดใหม่เมื่อเดือนมิถุนายน ๒๕๖๔ เพื่อแบ่งเบาการจราจรทางอากาศและรองรับการเติบโตในอนาคต ทำให้ขีดความสามารถโดยรวมของฮับการบินนครเฉิงตูเพิ่มขึ้นมหาศาล จากข้อมูลปี ๒๕๖๕ ท่าอากาศยานทั้งสองรวมกันรองรับผู้โดยสาร ๓๑.๐๙ ล้านคน ซึ่งมากที่สุดในบรรดาเมืองทั่วจีน (ช่วงที่หลายเมืองยังฟื้นตัวจากโควิด-๑๙) และมีปริมาณขนส่งสินค้านานาชาติ ๒๒๑,๐๐๐ ตัน เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ ๕๓.๗ จากปีก่อนหน้า การที่นครเฉิงตูสามารถก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางการบินอันดับต้นๆ ของจีนได้ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการวางยุทธศาสตร์ท่าอากาศยานคู่ที่เสริมบทบาทกัน

ขยายขีดความสามารถและโครงสร้างพื้นฐาน ท่าอากาศยานนานาชาติเฉิงตูเทียนฝู่ได้รับการออกแบบให้มีศักยภาพสูงมาก ตัวท่าอากาศยานมีพื้นที่ถึง ๗๑๐,๐๐๐ ตารางเมตร รองรับผู้โดยสารปีละ ๖๐ ล้านคน และสินค้า ๑.๓ ล้านตัน (แผนระยะยาวจะเพิ่มเป็น ๑๒๐ ล้านคน และ ๒.๘ ล้านตัน) ผนวกกับท่าอากาศยานเดิม (ซวงหลิว) นครเฉิงตูจึงมีโครงสร้างพื้นฐานพร้อมรองรับเที่ยวบินปริมาณมากทั้งภายในและระหว่างประเทศ โดยไม่เกิดภาวะคอขวด นอกจากนี้ ท่าอากาศยานนานาชาติเฉิงตูเทียนฝู่ยังติดอันดับท่าอากาศยานระดับ ๕ ดาวแห่งแรกในภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ตามการจัดอันดับของ Skytrax และให้บริการผู้โดยสารด้วยเทคโนโลยีทันสมัย เช่น ระบบเช็คอินล่วงหน้า บริการโหลดกระเป๋าและรักษาความปลอดภัยที่รวดเร็ว เพื่อประสบการณ์เดินทางที่ราบรื่น ซึ่งช่วยดึงดูดสายการบินและนักเดินทางให้ใช้ท่าอากาศยานเฉิงตูมากขึ้น

การแบ่งบทบาทและเพิ่มเส้นทางบิน การมี ๒ ท่าอากาศยานทำให้นครเฉิงตูสามารถกระจายเที่ยวบินและกำหนดบทบาทของแต่ละท่าอากาศยานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ในระยะเริ่มต้น ท่าอากาศยานใหม่อาจเน้นรองรับเส้นทางบินระหว่างประเทศระยะไกลและเป็นฮับหลัก ส่วนท่าอากาศยานเดิมรองรับเส้นทางภายในประเทศและภูมิภาค ส่งผลให้ภาพรวมเครือข่ายเส้นทางบินของเฉิงตูขยายตัวมาก ปัจจุบันเฉิงตูมีเส้นทางบินระหว่างประเทศ/ภูมิภาครวม ๕๕ เส้นทาง (ผู้โดยสาร+ขนส่งสินค้า) และวางแผนเปิดเพิ่มอีกหลายเส้นทาง เช่น นครเซาเปาโล นครอิสตันบูล กรุงกัวลาลัมเปอร์ กรุงโคลัมโบ และอีกหลายเมืองในเอเชีย รวมถึงเพิ่มความถี่เส้นทางยอดนิยม (นครดูไบ กรุงโตเกียว กรุงโซล สิงคโปร์) เพื่อเพิ่มการเชื่อมต่อ การขยายเส้นทางดังกล่าวส่งผลให้นครเฉิงตูดึงดูดผู้โดยสารต่อเครื่อง (transit) มากขึ้นในฐานะศูนย์กลางการบินจีนตะวันตก ซึ่งเป็นเป้าหมายที่รัฐบาลท้องถิ่นตั้งไว้

บูรณาการกับการพัฒนาโลจิสติกส์และเศรษฐกิจ ยุทธศาสตร์ท่าอากาศยานคู่ของเฉิงตูไม่ได้แยกโดดเดี่ยว แต่เชื่อมโยงกับการพัฒนาท่าอากาศยานนครเฉิงตู – นครฉงชิ่ง ซึ่งรัฐบาลจีนผลักดันให้เป็นศูนย์กลางการบินระดับโลกแห่งใหม่ทางภาคตะวันตก ส่งผลให้อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องเติบโตตาม เช่น นครเฉิงตูดึงดูดบริษัทโลจิสติกส์ชั้นนำมาตั้งฐานกว่า ๑๒๐ แห่ง เช่น SF Express ตั้งสำนักงานใหญ่ภาคตะวันตก DHL เปิดศูนย์ขนส่งด่วนภูมิภาค และสายการบินสินค้า (cargo) เปิดเส้นทางใหม่ออกจากนครเฉิงตูหลายเส้น (ล่าสุดปี ๒๕๖๖ บริษัทขนส่ง Apex เปิดเที่ยวบินสินค้านครเฉิงตู-ชิคาโก/นิวยอร์ก สัปดาห์ละรวมกว่า ๖๐๐ ตัน ทำให้ธุรกิจในมณฑลเสฉวนส่งสินค้าไปสหรัฐอเมริกาได้เร็วและถูกลง) อีกทั้งคลังสินค้าขนาดใหญ่ผุดขึ้นรอบๆ ท่าอากาศยาน (พื้นที่คลังรวมกว่า ๖.๑ ล้านตารางเมตร ใหญ่เป็นอันดับ ๓ ของจีน) รองรับอุตสาหกรรมใหม่ เช่น ชีวเภสัชภัณฑ์และสินค้าเกษตรสดที่ต้องขนส่งเย็น ซึ่งล้วนได้ประโยชน์จากบริการขนส่งทางอากาศที่รวดเร็วของนครเฉิงตูเห็นได้ว่าการพัฒนาท่าอากาศยานคู่ของเฉิงตูช่วยยกระดับทั้งภาคการบินและขับเคลื่อนเศรษฐกิจภูมิภาคไปพร้อมกัน

สำหรับไทย รัฐบาลไทยประกาศวิสัยทัศน์ผลักดันประเทศให้เป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค (Regional Aviation Hub) โดยเฉพาะการยกระดับท่าอากาศยานสุวรรณภูมิให้ติดอันดับ ๑ ใน ๒๐ ท่าอากาศยานที่ดีที่สุดของโลกภายใน ๕ ปี (ปัจจุบันอยู่อันดับ ๖๘) และเพิ่มขีดความสามารถรองรับผู้โดยสารรวมทุกท่าอากาศยานของไทยเกิน ๑๕๐ ล้านคนต่อปี ซึ่งไทยอาจพิจารณาดำเนินการในมิติต่างๆ เช่น

เพิ่มขีดความสามารถท่าอากาศยานหลักและระบบท่าอากาศยานคู่ในกรุงเทพฯ ปัจจุบันกรุงเทพฯ มีท่าอากาศยานหลัก ๒ แห่ง (สุวรรณภูมิและดอนเมือง) ซึ่งทำหน้าที่ระบบท่าอากาศยานคู่อยู่แล้ว ไทยจึงควรวางแผนบทบาทที่ชัดเจนและการพัฒนาที่สมดุลระหว่างสองท่าอากาศยานนี้ เช่น สุวรรณภูมิเป็นฮับหลักรองรับเที่ยวบินระหว่างประเทศและการต่อเครื่อง ส่วนดอนเมืองเน้นสายการบินต้นทุนต่ำและเที่ยวบินภายในภูมิภาค ซึ่งจะช่วยแบ่งเบาภาระและดึงผู้โดยสารที่หลากหลาย ในด้านโครงสร้างพื้นฐาน สุวรรณภูมิเปิดอาคารเทียบเครื่องบินรอง (SAT-1) หลังใหม่ในปี ๒๕๖๖ เพิ่มความจุจาก ๔๕ ล้านคน/ปี เป็น ๖๐ ล้านคน/ปี และในปี ๒๕๖๗ เตรียมเปิดรันเวย์เส้นที่ ๓ เพิ่มขีดความสามารถการจราจรจาก ๖๘ เที่ยวบินต่อชั่วโมง เป็น ๙๔ เที่ยวบิน/ชั่วโมง รวมถึงมีโครงการลงทุนก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ ๒ (South Terminal) ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า (มูลค่าลงทุนประมาณ ๑.๒ แสนล้านบาท ขนาด ๕ แสนตารางเมตร) ที่อยู่ในแผนแม่บทเดิมของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อขยายความจุระยะยาวให้รองรับผู้โดยสารได้ใกล้เคียง ๑๕๐ ล้านคน/ปีในอนาคต ส่วนดอนเมืองเองก็มีโครงการปรับปรุงขยายอาคารเพื่อรองรับผู้โดยสารให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งการพัฒนาเหล่านี้จำเป็นต้องเร่งดำเนินการให้ทันต่อความต้องการที่กลับมาเติบโตอย่างรวดเร็วหลังโควิด-๑๙

ยกระดับมาตรฐานบริการท่าอากาศยานสู่ระดับโลก นอกจากขนาดความจุ ไทยอาจปรับปรุงคุณภาพบริการท่าอากาศยานให้ได้มาตรฐานสากลตามแนวคิด World Class Hospitality ซึ่ง AOT (บริษัท ท่าอากาศยานไทยฯ) ได้ประกาศจุดยืนในโอกาสครบรอบ ๔๖ ปีที่จะเน้นมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดแก่ผู้โดยสาร ซึ่งรวมถึงการจัดการเวลาในท่าอากาศยานให้รวดเร็ว (ลดคิว ตม. เช็คอิน ตรวจสัมภาระ) ความสะอาดและสิ่งอำนวยความสะดวก (ห้องน้ำป้ายบอกทางหลายภาษา Wi-Fi) การฝึกอบรมบุคลากรท่าอากาศยานให้บริการอย่างมืออาชีพและเป็นมิตร การยกระดับบริการเหล่านี้จะช่วยให้ท่าอากาศยานไทยไต่อันดับโลกอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น (สุวรรณภูมิเคยติดอันดับ ๑๓ ของโลกเมื่อทศวรรษที่แล้ว ก่อนจะอยู่ในอันดับที่ ๖๘ ในปัจจุบัน) จุดนี้สามารถนำบทเรียนจากท่าอากาศยานเทียนฟู่เฉิงตูที่ได้รับเรตติ้ง ๕ ดาว เช่น การออกแบบอาคารที่ทันสมัยและมุ่งเน้นประสบการณ์ผู้โดยสาร (มีสวนหย่อม พื้นที่พักผ่อน ร้านค้าและอาหารคุณภาพสูง) ตลอดจนการใช้เทคโนโลยีอำนวยความสะดวกและความปลอดภัย (ระบบจดจำใบหน้า AI จัดคิว ตม.) มาปรับใช้ในไทย

พัฒนาท่าอากาศยานภูมิภาคให้เป็นเครือข่ายรองรับ (Hub & Spoke) นอกจากกรุงเทพฯ ไทยยังมีท่าอากาศยานหัวเมืองใหญ่ที่มีศักยภาพเป็นจุดเชื่อมต่อภูมิภาค ได้แก่ เชียงใหม่ (ประตูสู่ภาคเหนือ) ภูเก็ต (ประตูสู่ภาคใต้/อันดามัน) รวมถึงท่าอากาศยานเมืองท่องเที่ยว/เศรษฐกิจอื่น เช่น เชียงราย หาดใหญ่ อู่ตะเภา (ระยอง-พัทยา) รัฐบาลไทยได้ตั้งนโยบายเร่งรัดการอัปเกรดท่าอากาศยานภูมิภาคเหล่านี้เพื่อสนับสนุนการเป็น Aviation Hub ของไทย โดยเน้น ๒ ส่วน ได้แก่ (๑) การลงทุนขยายขีดความสามารถ เช่น โครงการสร้างท่าอากาศยานเชียงใหม่แห่งที่ ๒ (ท่าอากาศยานล้านนา) ที่ จ.ลำพูน รองรับผู้โดยสารเพิ่ม ๒๔ ล้านคน/ปี (ใช้งบประมาณ ๗ หมื่นล้านบาท และอยู่ระหว่างศึกษาความคุ้มค่า) และการขยายท่าอากาศยานภูเก็ต ระยะที่ ๒ ที่จะเพิ่มความจุเป็น ๑๘ ล้านคน/ปี ภายในปี ๒๕๗๓ และ (๒) การปรับปรุงบริการและสิ่งอำนวยความสะดวก โดยรายงานตรวจเยี่ยมท่าอากาศยานภูมิภาคหลายแห่งพบปัญหาเรื่องความสะอาดห้องน้ำ พื้นที่นั่งคอยไม่พอ ระบบคมนาคมต่อเชื่อมเข้าตัวเมืองไม่สะดวก เป็นต้น ซึ่งกระทรวงคมนาคมได้สั่งแก้ไขด่วน เช่น เพิ่มจุดเช็คอิน เร่งเปิดใช้อาคารเทียบเครื่องบินใหม่ ติดป้ายบอกทางชัดเจน ปรับปรุงห้องน้ำ เพื่อยกระดับประสบการณ์เดินทางภายในประเทศให้ดีใกล้เคียงมาตรฐานท่าอากาศยานหลัก สิ่งเหล่านี้จะช่วยกระจายนักท่องเที่ยวต่างชาติจากกรุงเทพฯ ไปยังเมืองรองได้มากขึ้น และเชื่อมการเดินทางในประเทศ – ระหว่างประเทศอย่างไร้รอยต่อการดึงดูดนักท่องเที่ยวจีน (โดยเฉพาะจากเฉิงตู) และการพัฒนาศูนย์กลางการบินไทย-จีน เป็นเป้าหมายที่สนับสนุนซึ่งกันและกัน เมื่อไทยมีเครือข่ายการบินครอบคลุม เชื่อมต่อเมืองสำคัญของจีนได้สะดวก นักท่องเที่ยวจีนก็จะมาไทยมากขึ้น ในขณะเดียวกัน ปริมาณนักท่องเที่ยวและสินค้าที่เติบโตขึ้นก็จะสร้างแรงจูงใจให้สายการบินเปิดเส้นทางใหม่ๆ เพิ่ม จนเกิดเป็นวงจรเชิงบวก กรณีศึกษาของนครเฉิงตูแสดงให้เห็นว่าการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่มียุทธศาสตร์ชัดเจนสามารถยกระดับเมืองขึ้นเป็นฮับการบินและโลจิสติกส์ได้ภายในเวลาไม่นาน ประเทศไทยซึ่งมีทำเลยุทธศาสตร์ในอาเซียนและมีทรัพยากรการท่องเที่ยวอุดมสมบูรณ์ ศูนย์ข้อมูลเพื่อธุรกิจไทยในจีน สถานกงสุลใหญ่ ณ นครเฉิงตู เล็งเห็นว่า หากดำเนินนโยบายอย่างถูกทิศทาง ทั้งด้านการตลาดท่องเที่ยว การลงทุนขยายท่าอากาศยาน และการเชื่อมโยงเครือข่ายการบิน-โลจิสติกส์กับจีน ก็มีโอกาสสูงที่จะก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางการบินและการท่องเที่ยวที่แข็งแกร่งของภูมิภาค สร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและมิตรภาพอันแน่นแฟ้นระหว่างไทย-จีนได้อย่างยั่งยืน

ที่มา: เข้าถึงข้อมูลวันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๖๘
๑. http://sc.people.com.cn/n2/2024/1215/c345167-41075890.html
๒. https://mp.weixin.qq.com/s/f5fW4pp-OFTHlE49WqGn2g
๓. https://tna.mcot.net/world-1499626#:~:text=%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%201%20%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A1%202024%20%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B6%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99
๔. https://www.nationthailand.com/news/tourism/40050919
๕. https://chinesetouristagency.com/china-is-seeking-to-increase-the-number-of-scheduled-flights-to-thailand/#:~:text=and%20Chinese,pandemic
๖. https://mobile.chinadaily.com.cn/html5/2023-08/01/content_008_64c81abaed50d203d2c9938a.htm#:~:text=Express%20Transfer%20Center%20and%20Apex,Regional%20Headquarters%20in%20Chengdu
๗. https://www.efinancethai.com/LastestNews/LatestNewsMain.aspx?id=bVIxOFdzOWpTdWc9
๘. https://www.thansettakij.com/business/tourism/631584
๙. https://www.chengdu.gov.cn/cdsrmzf/c169603/2025-01/10/content_c532bb0ca6cd4a6187c6a5437c5e6668.shtml
๑๐. https://www.chengdu.gov.cn/cdsrmzf/c169606/2025-01/20/content_06ec4afb59c848f992d6096e5e84fae5.shtml
๑๑. https://aviability.com/zh-hans/airport/ctu-chengdu-shuangliu/destinations
๑๒. https://aviability.com/zh-hans/airport/tfu-chengdu-chengdu-tianfu/destinations
๑๓. https://mp.weixin.qq.com/s/25LAeAhbSRyZyLBEgj4tDw
๑๔. https://news.qq.com/rain/a/20230318A01UIW00
รูปภาพ:
๑. 699pic.com