เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2563 คณะกรรมาธิการพาณิชย์เทศบาลเมืองฉงชิ่งระบุว่า ขณะนี้ฉงชิ่ง          ได้ดำเนินโครงการเขตการค้าเสรีนำร่องไปแล้ว 148 จาก 151 โครงการ คิดเป็นร้อยละ 98 โดยมีวิสาหกิจที่เพิ่งลงทะเบียนใหม่ในเขตการค้าเสรีนำร่องฉงชิ่งจำนวน 36,385 แห่ง ด้วยมูลค่าการจดทะเบียนรวมกว่า 465,894 ล้านหยวน และมีโครงการเขตการค้าเสรีนำร่องฉงชิ่งรวมทั้งสิ้น2,670 โครงการมูลค่ากว่า 869,300 ล้านหยวนในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา 

ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มหานครฉงชิ่งประสบความสำเร็จในด้านการสร้างนวัตกรรมโดยได้ปฏิรูปโครงการนำร่องไปแล้ว 223 โครงการ ปฏิรูปโครงการทั่วไป 206 โครงการ และโครงการที่ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์ 193 โครงการ รวมกันคิดเป็นร้อยละ 94 เหลืออีกเพียง 13 โครงการที่กำลังเร่งดำเนินการอยู่

ในขณะเดียวกันฉงชิ่งกำลังเร่งดำเนินการสำรวจและพัฒนาเขตการค้าเสรีนำร่องเพื่อเชื่อมกับโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (BRI) โดยมุ่งเน้นไปที่การก่อสร้างเส้นทางขนส่งทางบกและทางทะเลของภาคตะวันตก ผลักดันนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อใช้เป็นกลไกการพัฒนาด้านการขนส่งที่จะเชื่อมต่อทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ สร้างตู้คอนเทรนเนอร์ทางรถไฟที่มีมาตรฐานสูงและขนส่งสินค้าได้ครั้งละจำนวนมาก สร้างนวัตกรรมทางด้านการเงินและโลจิสติกส์ภายในประเทศ สร้างระบบการลงทะเบียนและบริการด้านโลจิสติกส์ที่ครอบคลุม

นอกจากนี้เขตการค้าเสรีนำร่องฉงชิ่งยังประสบความสำเร็จในการสร้างระบบการนำร่องด้านนวัตกรรมกว่า 240 โครงการ เช่น การชำระเงินรูปแบบใหม่ การให้บริการด้านสินเชื่อ เป็นต้น อีกทั้งการดำเนินการปฏิรูปด้านนวัตกรรมของฉงชิ่งยังมีบทบาทสำคัญที่จะช่วยส่งเสริมและยกระดับประสิทธิภาพด้านการบริการของรัฐบาลฉงชิ่ง ส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงด้านอุตสาหกรรมและยกระดับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินการปฏิรูปและอำนวยความสะดวกในบริเวณด่านศุลกากร ซึ่งสามารถลดระยะเวลาการนำเข้าสินค้าที่ท่าเรือฉงชิ่งลงถึงร้อยละ60 และลดระยะเวลาการส่งออกสินค้าถึงร้อยละ 90

ในปัจจุบันเขตการค้าเสรีนำร่องฉงชิ่งได้สร้างแพลตฟอร์ม"กลยุทธ์ +สวน + การทำงาน +กิจกรรม" เพื่อผลักดันและพัฒนาโครงการเชื่อมต่อทางรถไฟระหว่างจีน-สิงคโปร์ และเพื่อใช้เป็นโครงการนำร่องสำหรับเชื่อมต่อในเส้นทาง BRI ต่อไป ด้วยเหตุนี้ เขตฉงชิ่งไฮเทคโซนจึงได้พยายามอย่างมากในการยกระดับเพื่อให้เป็นเขตนำร่องหลักสำหรับการพัฒนาเมืองที่ขับเคลื่อนโดยนวัตกรรมที่มีคุณภาพสูงและเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับการเปิดกว้างและพัฒนาสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เอื้อต่อการดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติมากยิ่งขึ้น